เมื่อวันที่ 28 เมษายน 51 สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าและยากจนวัดสระแก้ว เป็นสถานสงเคราะห์เอกชน การดำเนินการทั้งหมดนั้นทำโดยพระสงฆ์ ตั้งอยู่ที่ ต.บางเสด็จ อ.ป่าโมก จ.อ่างทอง ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2485 มีเด็กในสถานสงเคราะห์ฯ อายุตั้งแต่ 3 ขวบ-15 ปี
ที่นี่มี โครงการเลี้ยงไก่ไข่ ที่นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานซีพี เข้ามาเห็นว่าในสถานสงเคราะห์มีการทำการเกษตร มีการปลูกผัก มีการเลี้ยงไก่พื้นบ้าน และมีกิจกรรมทางการเกษตรพื้นฐาน จึงริเริ่มให้เลี้ยงไก่ไข่ 100 ตัวในโรงเรือนเปิด ซึ่งในการเลี้ยงไก่ 100 ตัวนี้มีการจดบันทึกเป็นขั้นตอน เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้ ต่อมาจึงเพิ่มเป็น 1,000 ตัวในโรงเรือนเปิด
ต่อมาในปี 2545 จึงมีการทำแบบโรงเรือนปิด ในพื้นที่เดิมนี้ มีการสร้างโรงเรือนและอุปกรณ์โดยใช้เงินลงทุนกว่า 18 ล้านบาท โดยวัตถุประสงค์หลักคือ ต้องการให้นักเรียนมีไข่กิน และให้โอกาสเด็ก ๆ ได้มีการเรียนรู้ในการเลี้ยงไก่ไข่ตั้งแต่การเลี้ยงแบบโรงเรือนเปิดคือ การเลี้ยงแบบชาวบ้าน แล้วค่อย ๆ พัฒนาสู่การเรียนรู้รูปแบบฟาร์มแบบโรงเรือนปิด
ที่จะเล่าสู่กันฟังในวันนี้คือ ที่นี่มีการบำบัดของเสียโดยนำมูลไก่ไข่มาทำ Biogas ซึ่งที่นี่ประสบความสำเร็จจนเป็นที่ดูงานของโรงเรียนต่าง ๆ ของจังหวัดอ่างทอง และจังหวัดอื่น ๆ แม้กระทั่งต่างประเทศ
การบำบัดของเสียโดยใช้การทำไบโอแก๊สแบบ cover lagoon ซึ่งมูลไก่ทั้งหมดจะลงสู่ระบบและเมื่อเกิดการหมักก็ทำให้เกิดแก๊ส และนำแก๊สเข้ามาปั่นเครื่อง generator เพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้ามาใช้ในฟาร์ม เมื่อก่อนที่ยังไม่มีระบบนี้ค่าไฟเดือนละ 1.3 แสนบาท เฉพาะฟาร์มนี้ซึ่งมี 4 โรงเรือน แต่พอทำระบบนี้ ค่าไฟเหลือเดือนละ 2 หมื่นกว่าบาท คือ ลดไปถึง 80% ทำให้ ลดค่าใช้จ่ายตรงนี้ลงไป และปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมนั้นก็หมดลงไปด้วย
นายประธาน จองปั่น รองกรรมการผู้จัดการธุรกิจครบวงจรภูมิภาค บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ แนะว่า การทำไบโอแก๊สจะต้องดูเรื่องราคาขี้ไก่ด้วย อย่างทางภาคตะวันออกที่มีสวนผลไม้เยอะ ๆ ราคาขี้ไก่ก็ดี ตัวหนึ่งอาจขายขี้ไก่ได้ที่ 1.50 บาท มีไก่ซัก 1 แสนตัวก็ได้แสนห้าต่อเดือน แต่อย่างภาคกลาง ภาคอีสาน ภาคเหนือขี้ไก่อาจมีมูลค่าน้อยกว่า คิดแล้วหากนำมาทำไบโอแก๊สก็คุ้มกว่า อย่างวันนี้เราประหยัดไปได้ 7 หมื่นก็เกือบตัวละบาท จาก 1 แสนบาทในส่วนของค่าไฟ ไม่ต้องหาคนมาซื้อขี้ไก่ เอาลงบ่อหมักเราเลยซึ่งหากเทียบจากปริมาณไก่ก็ได้เกือบตัวละ 1 บาทต่อเดือน ภาคตะวันออกก็อาจได้ที่ 1.20-1.50 บาทต่อเดือนแต่ต้องขึ้นกับฤดูกาลด้วย
“นอกจากนี้การที่เราทำไบโอแก๊สเราก็ยังมีมูลไก่ในบ่อที่สามารถนำขึ้นมาตากทำเป็นปุ๋ยได้ นำไปตาก กลายเป็นปุ๋ยที่ไม่มีกลิ่น ซึ่งดีมาก บางทีดีกว่าขี้ไก่สดที่ยังไม่ผ่านการหมักเสียอีก เพราะมันอาจเค็มเกินไป”
นับว่าเป็นโครงการที่มีประโยชน์ เกษตรกรรายอื่นสามารถนำไปเป็นแนวทางในการประยุกต์ ใช้กับฟาร์มของตนได้ต่อไป หากว่าฟาร์มใดทำระบบไบโอแก๊สเชื่อว่าจะสามารถลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ลดมลพิษ ลดค่ากระแสไฟฟ้าและแน่นอนที่สุดทำให้ลดต้นทุนการผลิตลง...อันเป็นผลดีต่อเกษตรกรและชุมชนโดยรอบ และหากว่าทุก ๆ ฟาร์มทำระบบไบโอแก๊ส ย่อมส่งผลดีต่อสังคมโดยรวม จริงไหม
ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ วันที่ 28 เมษายน 2551
ที่นี่มี โครงการเลี้ยงไก่ไข่ ที่นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานซีพี เข้ามาเห็นว่าในสถานสงเคราะห์มีการทำการเกษตร มีการปลูกผัก มีการเลี้ยงไก่พื้นบ้าน และมีกิจกรรมทางการเกษตรพื้นฐาน จึงริเริ่มให้เลี้ยงไก่ไข่ 100 ตัวในโรงเรือนเปิด ซึ่งในการเลี้ยงไก่ 100 ตัวนี้มีการจดบันทึกเป็นขั้นตอน เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้ ต่อมาจึงเพิ่มเป็น 1,000 ตัวในโรงเรือนเปิด
ต่อมาในปี 2545 จึงมีการทำแบบโรงเรือนปิด ในพื้นที่เดิมนี้ มีการสร้างโรงเรือนและอุปกรณ์โดยใช้เงินลงทุนกว่า 18 ล้านบาท โดยวัตถุประสงค์หลักคือ ต้องการให้นักเรียนมีไข่กิน และให้โอกาสเด็ก ๆ ได้มีการเรียนรู้ในการเลี้ยงไก่ไข่ตั้งแต่การเลี้ยงแบบโรงเรือนเปิดคือ การเลี้ยงแบบชาวบ้าน แล้วค่อย ๆ พัฒนาสู่การเรียนรู้รูปแบบฟาร์มแบบโรงเรือนปิด
ที่จะเล่าสู่กันฟังในวันนี้คือ ที่นี่มีการบำบัดของเสียโดยนำมูลไก่ไข่มาทำ Biogas ซึ่งที่นี่ประสบความสำเร็จจนเป็นที่ดูงานของโรงเรียนต่าง ๆ ของจังหวัดอ่างทอง และจังหวัดอื่น ๆ แม้กระทั่งต่างประเทศ
การบำบัดของเสียโดยใช้การทำไบโอแก๊สแบบ cover lagoon ซึ่งมูลไก่ทั้งหมดจะลงสู่ระบบและเมื่อเกิดการหมักก็ทำให้เกิดแก๊ส และนำแก๊สเข้ามาปั่นเครื่อง generator เพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้ามาใช้ในฟาร์ม เมื่อก่อนที่ยังไม่มีระบบนี้ค่าไฟเดือนละ 1.3 แสนบาท เฉพาะฟาร์มนี้ซึ่งมี 4 โรงเรือน แต่พอทำระบบนี้ ค่าไฟเหลือเดือนละ 2 หมื่นกว่าบาท คือ ลดไปถึง 80% ทำให้ ลดค่าใช้จ่ายตรงนี้ลงไป และปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมนั้นก็หมดลงไปด้วย
นายประธาน จองปั่น รองกรรมการผู้จัดการธุรกิจครบวงจรภูมิภาค บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ แนะว่า การทำไบโอแก๊สจะต้องดูเรื่องราคาขี้ไก่ด้วย อย่างทางภาคตะวันออกที่มีสวนผลไม้เยอะ ๆ ราคาขี้ไก่ก็ดี ตัวหนึ่งอาจขายขี้ไก่ได้ที่ 1.50 บาท มีไก่ซัก 1 แสนตัวก็ได้แสนห้าต่อเดือน แต่อย่างภาคกลาง ภาคอีสาน ภาคเหนือขี้ไก่อาจมีมูลค่าน้อยกว่า คิดแล้วหากนำมาทำไบโอแก๊สก็คุ้มกว่า อย่างวันนี้เราประหยัดไปได้ 7 หมื่นก็เกือบตัวละบาท จาก 1 แสนบาทในส่วนของค่าไฟ ไม่ต้องหาคนมาซื้อขี้ไก่ เอาลงบ่อหมักเราเลยซึ่งหากเทียบจากปริมาณไก่ก็ได้เกือบตัวละ 1 บาทต่อเดือน ภาคตะวันออกก็อาจได้ที่ 1.20-1.50 บาทต่อเดือนแต่ต้องขึ้นกับฤดูกาลด้วย
“นอกจากนี้การที่เราทำไบโอแก๊สเราก็ยังมีมูลไก่ในบ่อที่สามารถนำขึ้นมาตากทำเป็นปุ๋ยได้ นำไปตาก กลายเป็นปุ๋ยที่ไม่มีกลิ่น ซึ่งดีมาก บางทีดีกว่าขี้ไก่สดที่ยังไม่ผ่านการหมักเสียอีก เพราะมันอาจเค็มเกินไป”
นับว่าเป็นโครงการที่มีประโยชน์ เกษตรกรรายอื่นสามารถนำไปเป็นแนวทางในการประยุกต์ ใช้กับฟาร์มของตนได้ต่อไป หากว่าฟาร์มใดทำระบบไบโอแก๊สเชื่อว่าจะสามารถลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ลดมลพิษ ลดค่ากระแสไฟฟ้าและแน่นอนที่สุดทำให้ลดต้นทุนการผลิตลง...อันเป็นผลดีต่อเกษตรกรและชุมชนโดยรอบ และหากว่าทุก ๆ ฟาร์มทำระบบไบโอแก๊ส ย่อมส่งผลดีต่อสังคมโดยรวม จริงไหม
ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ วันที่ 28 เมษายน 2551
ตุณกำลังอยู่ที่หน้า
ไบโอแก๊ส' จากฟาร์มไก่ไข่ ไร้ปัญหาสิ่งแวดล้อม. http://thachaibiogas.blogspot.com/2011/05/blog-post.html.
เขียนโดย:
Admin - วันพุธที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
แสดงความคิดเห็น "ไบโอแก๊ส' จากฟาร์มไก่ไข่ ไร้ปัญหาสิ่งแวดล้อม"
แสดงความคิดเห็น